22 มกราคม 2554

ไอศกรีมกาแฟ

ส่วนผสมของไอศกรีมกาแฟ

  1. กาแฟแก่ ๆ 1/2 ถ้วย
  2. นมสดชนิดจืด 1 /2 ถ้วย
  3. ไข่แดง 4 ฟอง
  4. น้ำตาลทรายละเอียด 1/2 ถ้วย
  5. แป้งข้าวโพด 1 ช้อนชา
  6. วิปปิ้งครีม 1/3 ถ้วย
  7. โอโจ้รสช็อกโกแลต วิปปิ้งครีมและเม็ดสีต่างๆสำหรับตกแต่ง

วิธีทำไอศกรีมกาแฟ

  1. ต้มนมสดในหม้อด้วยไฟกลางจนนมเริ่มเดือด ปิดไฟ พักให้เย็น ระหว่างนั้นก็ให้ตีไข่แดงด้วยตะกร้อในอ่างผสมจนข้นเป็นสีครีมนวล จึงค่อยๆ ใส่น้ำตาลและแป้งข้าวโพดลงไปพร้อมกับตีจนน้ำตาลละลาย แล้วใส่นมที่ต้ม คนให้เข้ากัน เทใส่ภาชนะ ยกขึ้นตั้งไฟกลาง หมั่นคนตลอดเวลาจนเนื้อเนียน พักไว้ให้เย็น แล้วใส่วิปปิ้งครีม กาแฟ ตีให้เข้ากัน
  2. เทส่วนผสมลงปั่นในเครื่องปั่นไอศกรีมตามขั้นตอน ใช้เวลาปั่นนาน 25-40 นาที จึงตักไอศกรีมลงในภาชนะเพื่อแช่แข็งต่อไ
  3. ตกแต่งไอศกรีมกาแฟให้สวยงาม พร้อมเสิร์ฟ สำหรับ 5 คน


22 ธันวาคม 2553

ไอศกรีมสตรอว์เบอร์รี่

ไอศกรีมสตรอว์เบอร์รี่

ไอศกรีมสตรอว์เบอร์รี่เป็นไอศกรีมยอดนิยมที่ หลายๆคนชอบรับประทานกันมาก เพราะ ความ หวานอมเปรี้ยว และสีสันที่ชวนกิน ยิ่งถ้าใช้ สตรอว์เบอร์รีแดงสด เป็นส่วนประกอบ ทำเสร็จใหม่ๆรับรอง ไม่มีใครกล้าปฏิเสธไอศกรีมถ้วยนี้ได้แน่ๆ วันนี้เราลองมาทำไอศกรีมสตรอว์เบอร์รี่กัน
สตรอว์เบอร์รี่

ส่วนผสม
สตรอว์เบอร์รี่ 400 กรัม
น้ำตาลไอซิ่ง 1/2 ถ้วย
น้ำเลมอน 2 ช้อนโต๊ะ
วิปปิ้งครีม 1 /4 ถ้วย
โอโจ้รสสตรอว์เบอร์รีสำหรับตกแต่ง

วิธีทำ
1. ขั้นแรกล้างสตรอว์เบอร์รี่ เด็ดขั้ว หั่นเป็นชิ้นเล็กเตรียมไว้
2. ปั่นสตรอว์เบอร์รี่จนละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน เติมน้ำตาลและน้ำเลมอน ปั่นต่อให้เข้ากันแล้วกรองผ่านกระชอนใส่อ่างผสม นำแช่ตู้เย็นช่องธรรมดาจนเย็นดี
3. เทส่วนผสมไอศกรีมลงปั่นในเครื่องปั่นไอศกรีมตามขั้นตอน ใช้เวลาปั่นนาน 25-40 นาทีก่อนเสร็จประมาณ 5 นาที ให้ใส่วิปปิ้งครีมปั่นพอส่วนผสมเข้ากัน จึงตักไอศกรีมลงในภาชนะเพื่อแช่แข็งต่อไป
4. ตักไอศกรีมใฟถ้วย ตกแต่งด้วยโอโจ้ รสสตรอว์เบอร์รี่ เสิร์ฟได้ทันที

14 ธันวาคม 2553

ไอศครีมสับปะรด

ไอศครีมผลไม้ที่มีรสชาติเปรี้ยวอมหวานนี้ ต้องอยู่ในใจใครหลายๆคนแน่ๆ สับปะรดเป็นผลไม้ที่มีอยู่มากมายในบ้านเรา มีให้ทานได้ตลอดทั้งปี เราลองเอามาทำเป็นไอศครีมสับปะรด ก็จะอร่อยดีไม่ใช่น้อยจะทำทานเองหรือทำขายก็ดีไม่แพ้กัน วีทำไอศครีมสับปะรด นั้นก็ไม่ยาก มาลองทำตามกันได้

ไอศครีมสับปะรด


ส่วนผสม
เลือกใช้เนื้อสับปะรดศรีราชาหรือสับปะรดนางแล หั่นชิ้นเล็ก 3 ถ้วย
น้ำตาลทรายละเอียด 2 /3 ถ้วย
ผิวเลมอนขูดละเอียด 1 /2 ช้อนโต๊ะ
น้ำเลมอน 2 ช้อนโต๊ะ
วิปปิ้งครีม ½ ถ้วย
สับปะรดหั่นแว่นและยอดสะระแหน่สำหรับตกแต่งให้สวยงาม

วิธีทำไอศครีมสับปะรด

1. ปั่นเนื้อสับปะรด น้ำตาล และผิวเลมอนเข้าด้วยกันจนละเอียด เทใส่หม้อ ยกขึ้นตั้งไฟอ่อนๆ
เคี่ยวนานประมาณ 5-10 นาที ปิดไฟ ยกลงเทใส่อ่างผสม

2.ใส่น้ำเลมอนคนๆให้เข้ากัน พักไว้ให้เย็น เติมวิปปิ้งครีมลงไปคนให้เข้ากันดี แล้วนำเข้าแช่ตู้เย็นช่องธรรมดาจนเย็นดี

3. เทส่วนผสมไอศกรีมลงปั่นในเครื่องปั่นไอศครีม ตามขั้นตอน ใช้เวลาปั่นนานประมาณ 25-40 นาที
จึงตักไอศครีมลงในภาชนะเพื่อแช่แข็งต่อไป

4.เวลาทาน ให้ ตักไอศครีมใส่ถ้วยหรือโคน ตกแต่งด้วยสับปะรดหั่นแว่นและยอดสะระแหน่ เสิร์ฟได้ทันที

08 ธันวาคม 2553

ไอศครีมมะม่วง

ไอศครีมมะม่วง
ไอศกรีมมะม่วงนั้น อร่อยมากๆ เป็นการนำเนื้อมะม่วงสุก นิยมเลือกใช้มะม่วงน้ำดอกไม้สุก จะได้รสชาติที่หอมอร่อย เป็นการดัดแปลงเลือกใช้ผลไม้ตามฤดูการที่ชาญฉลาดมาทำเป็นไอศครีม

ส่วนผสม
มะม่วงน้ำดอกไม้สุก หั่นชิ้น 1 ผล
ไข่ขาว 4 ฟอง
วิปปิ้งครีม 1 ถ้วย
น้ำตาลทรายละเอียด 4 ช้อนโต๊ะ
ยอดสะระแหน่สำหรับตกแต่ง

วิธีทำ
1. เริ่มจากนำเนื้อมะม่วงน้ำดอกไม้สุก มาปั่นให้ละเอียด เทใส่อ่างผสม เติมวิปปิ้งครีม คนด้วยตะกร้อให้เข้ากันดี พักไว้ก่อน

2. ตีไข่ขาวด้วยตะกร้อในอ่างผสมให้ขึ้นฟู จึงค่อยๆใส่น้ำตาลลงไปทีละน้อย ตีเข้าด้วยกัน จนหมด ตักไข่ขาวที่ตีใส่อ่างมะม่วง คนด้วยตะกร้อให้เข้ากันดี พักไว้

3 เทส่วนผสมไอศกรีมลงปั่นในเครื่องปั่นไอศครีมตามขั้นตอน ใช้เวลาปั่นนาน 25-40 นาที จึงตักไอศครีมลงในภาชนะเพื่อแช่แข็งต่อไป

4.ตักใส่ถ้วย ตกแต่งด้วยเนื้อมะม่วงสุกหั่นชิ้น และใบสะระแหน่ พร้อมเสิร์ฟได้ทันที

24 พฤศจิกายน 2553

อุปกรณ์และเครื่องประกอบไอศครีมที่สำคัญ

เครื่องทำไอศครีม
อุปกรณ์หลักที่ใช้ทำไอศครีมเบื้องต้น ที่มีความสำคัญต่อการทำไอศครีม มีดังนี้

1.เครืองปั่นไอศครีม
เครื่องปั่นไอศครีมสำหรับใช้ในบ้าน ส่วนใหญ่มีขนาดบรรจุ 1 ลิตร และเป็นเครื่องแบบถังเยือกแข็ง ซึ่งต้องนำถึงไปแช่ในช่องเยือกแข็งในตู้เย็นนานประมาณ 20 ชั่วโมง เพื่อให้สารเยือกแข็งเย็นจนแข็งตัวดีก่อนนำมาใช้เครื่องปั่นไอศครีมแบบที่มีเครื่องทำความเย็นเยือกแข็งในตัว มีการนำเข้ามาขายในเมืองไทยแล้วแต่ยังไม่แพร่หลายนัก เช่น ยี่ห้อ Nemox จากอิตาลี มีบรรจุ 2-3 ลิตร ซึ่งน่าจะเหมาะสำหรับการทำไอศครีมโฮมเมดสำหรับขายมากกว่าทำกินที่บ้าน

2.เครื่องไสน้ำแข็ง
เครื่องปั่นน้ำแข็งเกล็ดหรือน้ำแข็งหิมะขนาดใช้ในครัวเรือน ใช้ง่าย ราคาไม่แพง มีจำหน่ายตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป

3.หม้อตุ๋น
จำเป็นสำหรับทำคัสตาร์ด เป็นหม้อ 2ชั้น มีด้ามถือยาว หม้อชั้นล่างไว้สำหรับใส่น้ำ ส่วน หม้อชั้นบนใส่อาหารและมีฝาปิด เวลาตุ๋นจะต้องใส่น้ำเพียง 3/4 ลงในหม้อชั้นล่างตั้งไฟ วางหม้อ ชั้นบนซ้อนลงไป (ถ้าใส่น้ำมากเวลาวางหม้อชั้นบนซ้อนลงไปน้ำจะล้น) จากนั้นใส่อาหารตามความต้องการ นิยมใช้ในการทำไส้ครีม ซอส ละลายเนยหรืออุ่นนม เป็นต้น แต่ถ้าไม่มีหม้อตุ๋นก็สามารถ ใช้หม้อใบใหญ่ใส่น้ำแทนหม้อชั้นล่าง แล้วใช้หม้อใบเล็กแทนหม้อชั้นบนได้

4.อ่างสแตนเลส
ภาชนะในการเตรียมอาหารมีหลายขนาด เลือกใช้ให้เหมาะสมกับปริมาณอาหารที่ใส่ อ่างผสมใช้ได้ทนทาน ไม่เป็นสนิม ไม่แตกร้าว ทำความสะอาดได้ง่ายด้วยน้ำยาล้างจาน โดย ใช้ฟองน้ำถูกล้างน้ำจนสะคาด เช็ดด้วยผ้าสะอาดให้แห้ง

5.ตะกร้อ
ตะกร้อลวดสำหรับใช้ในการคนตะล่อมส่วนผสมเข้าด้วยกัน และใช้ในการตีไข่ ครีม ให้ ขึ้นฟู เลือกซื้อที่ทำมาจากสแตนเลส ใช้ได้ทนทานรักษาและทำความสะอาดได้ง่าย มีทั้งขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ ให้เลือกใช้ตามความเหมาะสม

6.ตู้เย็น
ตู้เย็นที่สามารถเก็บไอศครีมได้ดีควรมีช่องเยือกแข็งที่มีความเย็นจัดระดับคุณหภูมิ -18 องศาฟาเรนไฮต์ขึ้นไป ไอศครีมที่แช่ควรใส่กล่องปิดฝาให้สนิทเชอร์เบท ไม่ควรเก็บเกิน 3 วัน เพราะนานกว่านั้นเนื้อเชอร์เบทจะหยาบเป็นเกล็ดน้ำแข็ง ไม่นุ่มเนียน เหมือนในช่วงวันแรกๆ หากตู้เย็นเย็นจัด ไอศครีมจะแข็งมาก ควรวางไอศกรีมไว้นอกตู้เย็นสัก 5-10 นาที ให้อ่อนตัวก่อนตักเสิร์ฟ

7.ที่ตักไอศครีม
มีทั้งแบบกลมและแบบทรงรี แต่ช้อนตักแตงเป็นก้อนกลมขนาดเล็กก็ใช้ตักไอศครีม
ได้ ดูสวยงามน่ารักกว่าลูกใหญ่ด้วยซ้ำ หรือใช้ช้อนตักเป็นแผ่นโค้งมนก็ดูแปลกตาดี

8.กะทิ
ควรใช้กะทิคั้นสดเท่านั้น การคั้นกะทิเองให้ใช้น้ำอุ่นคั้น ใส่น้ำแด่น้อย คั้นหลายๆครั้ง
จะได้ของเหลวลักษณะขาวข้น มัน มีกลิ่นหอมหากคั้นกะทิจำนวนมาก อาจใช้ผ้าขาวบางช่วย
เอาผ้าห่อมะพร้าวขูดแล้วคิดเหมือนบิดผ้า จะช่วยผ่อนแรง และยังได้กะทิข้นด้วย ปัจจุบันไม่จำเป็น
ต้องคั้นกะทิเอง เพราะในตลาดสดมีกะทิสดขายคั้นสดจากเครื่องเลย

9.น้ำตาลทราย
ช่วยคุณภาพเนื้อไอศครีมและเพิ่มรสชาติหากใช้ปริมาณพอดี ถ้าน้ำตาลมากไป
นอกจากหวานจัดแล้ว ยังลดอัตราตีขึ้นฟู และใช้เวลาปั่นไอศครีมนานขึ้น ในการปั่นไอศครีมควร
ใช้น้ำตาลทรายละเอียด เพื่อจะได้ละลายเร็วน้ำนมสด ไขมันนมเพิ่มรสชาติความมัน ทำให้
ไอศครีมมีเนื้อนุ่มและขึ้นฟู นมที่ใช้ในการทำไอศครีมควรใช้นมสด (whole milk) ที่สดใหม่ มากกว่านม ยู เอช ที

10.ครีม
ที่ใช้ในการปั่นไอศครีมส่วนใหญ่เป็นวิปปิ้งครีม ควรใช้วิปปิ้งครีมสดมากกว่าแบบ UHT ซึ่ง
มักมีกลิ่นแรง ไอศครีมบางสูตรใช้ซาวร์ครีม (sour cream) ลักษณะคล้ายนมปรี้ยวและโยเกิร์ต เกิด
จากการใส่เชื้อแบททีเรียไปในหางครีม เพื่อเปลี่ยนน้ำตาลเป็นกรดเปรี้ยว ทำให้ครีมเกาะตัวกันมาก
ขึ้น มีรสเปรี้ยวอ่อน หอมสดชื่น ซาวร์ครีมช่วยใหhเนื้อไอศครีมเนียนขึ้นมาก และให้รสเปรี้ยวเล็กน้อย

11.ไข่ไก่
เนื้อไข่แดงช่วยในการตีขึ้นฟู ทำให้ไอศครีมมีเนื้อเนียน และสร้างกลิ่นรส ไข่ขาว ช่วยการตีขึ้นฟู ได้ไอศครีมเนื้อเนียนมากขึ้น ควรเลือก
ใช้ไข่ที่สดใหม่



thank image from qwickstep.com

18 พฤศจิกายน 2553

จากเชอร์เบท ถึงไอศครีม



เชอร์เบท


มีความเชื่อที่ถ่ายทอดกันต้องมาว่า จีนเป็นต้นกำเนิดของไอศครีมที่มาร์โคโปโลได้พบเห็น
ในศตวรรษที่ 13 และนำกลับไปเผยแพร่ในอิตาลีเรื่องนี้นักประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่าไม่จริง
มาร์โคโปโลมิได้เขียนไว้อย่างนั้น หรือกระทั่งอาจเป็นไปได้ว่า มาร์โคโปโลมิได้ไปเมืองจีนเสียด้วยซ้ำ
แต่เขียนขึ้นจากจินตนาการและการตีความบันทึก


ข้อเขียนของนักเดินทางคนอื่น เอลิซาเบท เดวิดผู้ศึกษาประวัติศาสตร์น้ำแข็งอย่างถึงแก่นยังอ้างว่า แม้จะใช้น้ำแข็งถนอมอาหารและแช่ผลไม้มา
ช้านาน แต่คนจีนก็ไม่เคยมีวัฒนธรรมเครื่องดื่มผสมน้ำแข็ง ก่อนที่จะได้รับอิทธิพลจากฝรั่งต่างชาติ
เมื่อประมาณกว่าร้อยปีที่แล้วพิจารณาจากหลักฐาน และผลการศึกษาทั้งหมดแล้ว ข้อสรุปที่เห็นสอดคล้องกันมากที่สุดก็คือ
เชอร์เบทของตุรกีและเปอร์เซีย ซึ่งเดิมเป็นน้ำผลไม้ปรุงรสหวานหอม หรือไซรัป น้ำผลไม้ราดน้ำแข็งและอาจเติมน้ำด้วยหรือไม่ก็ได้
เป็นจุดเริ่มต้น ของ ไอศกรีมเชอร์เบทแพร่เข้าไปในอิตาลีและฝรั่งเศสในสมัย

ศตวรรษที่ 16 ชาวอิดาลีเรียกว่า sorbetto และ
ฝรั่งเศสเรียก sorbet เฉพาะภาษาอังกฤษเท่านั้นที่เรียก sherbet ล้อตาม serbet ของตุรกี แต่ขณะเดียวกันก็เรียก sorbet ตามแบบฝรั่งเศสด้วย

แม้ในภายหลังที่เครื่องดื่มชนิดนี้ในตะวันตกเปลี่ยนไปแบบเเช่เเข็ง (frozen sherbet) แล้ว ซึ่งต้องกินมิใช่ดื่ม ฝรั่งก็ยังเรียก sherbet หรือ sorbetไอศครีมที่เป็นน้ำนมแช่แข็งเริ่มขึ้นที่ไหนเมื่อไร
ยังสรุปแน่นอนไม่ได้ กระแสหนึ่งว่าไอศครีมเริ่มพัฒนาขึ้นก่อนในอิตาลี สมัยศตวรรษที่ 17 แล้ว
แพร่ไปยังฝรั่งเศส จากนั้นจึงต่อไปยังอังกฤษและประเทศอื่นๆในยุโรป แต่อีกกระแสหนึ่งชี้ว่าอินเดีย
ไอศครีม
สมัยจักรพรรดิอัคบา (ศตวรรษที่ 16) มีไอศครีมKulfi ซึ่งเป็นน้ำนมเคี่ยวจนข้นแต่งรสและแช่แข็ง
แล้ว โดยรับมาจากถิ่นฐานเดิมของโมกุลในเปอร์เซียอีกทอดหนึ่งในอิตาลีและฝรั่งเศส ไอศครีมและไอศครีมผลไม้
หรือ frozen sherbet แพร่หลายขื้นก่อนในร้านกาแฟซึ่งในยุคนั้นกำลังได้รับความนิยม ขายเครื่องดื่ม
จำพวกชา กาแฟ และช็อกโกแลต ส่วนในอังกฤษกลับเป็นร้านขนมหวาน (confectioners) ที่เริ่มทำ
ไอศครีมขาย เข้าใจว่าในระยะแรกๆไอศครีมคงเป็นครีมหวานแข่แข็งธรรมดา ต่อมาเครื่องปั่นมีคุณภาพมากขึ้น จึงได้เนื้อไอศครีมที่เนียนนุ่มขึ้นเรื่อยๆ

15 พฤศจิกายน 2553

ไอครีม

ice cream

ไอครีมเป็นของหวานยอดนินม ที่คนทุกเพศทุกวัยชื่นชอบ เพราะกินแล้วมีความสุข รู้สึกสดชื่น

โดยเฉพาะเด็กๆและวัยรุ่น จะชอบกินไอครีมเป็นพิเศษ รสหวานมัน บวกกับเนื้อเนียนนุ่มของไอครีม ที่ละลายเย็นๆในปาก กระตุ้นให้รู้สึกมีความสุขและสดชื่นมากอย่างบอกไม่ถูก ไม่เพียงแต่ในฤดูร้อน
หรือในประเทศเขตร้อนเท่านั้นที่ไอครีมเป็นที่ชื่นชอบในหน้าหนาวและในประเทศที่หนาวจัดมากๆ
อย่างในรัสเซีย คนก็ยังนิยมกินไอครีม ชาวตะวันตกนับแต่สมัยโรมันจนถึงศตวรรษที่ 14-15 ใช้หิมะและ
น้ำแข็งเพื่อแช่ไวน์ให้เย็นในหน้าร้อนเป็นสำคัญ จะมีก็แต่ในเปอร์เซียและตุรกีเท่านั้นที่ใช้หิมะ
และน้ำแข็งมาทำเป็นเครืองดื่มหวานเย็นที่เรียกว่า sharbat หรือ sherbet
ความนิยมกินไอครีมเกิดขึ้นและแพร่หลายไป ตามการเติบโตอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมและ
การค้าไอครีมในตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกา ทำให้ไอครีมเป็นของซื้อกิน ที่รถเร่
ที่ร้านไอครีม และที่ตู้ไอครีมกล่องหรือไอครีมกระป๋องสารพัดยี่ห้อในซุปเปอร์มาร์เก็ต มากกว่า
จะทำกินเองที่บ้าน น้อยคนที่ทำไอครีมกินเองแม้เพียงแต่คิดก็ยังไม่มี ทั้งๆที่ไอครีมเป็นของที่ทำ
เองได้ง่ายมาก

อย่างไรก็ตามในสังคมตะวันตกปัจจุบัน โดยเฉพาะในสหรู้ฐอเมริกา ได้เกิดกระแสย้อนอดีตหวน
กลับไปหาไอครีมโฮมเมดและปั่นไอครีมกินเองที่บ้านมากขึ้น ทั้งนี้ด้วยเหตุผลง่ายๆว่า ทำกินเอง
ที่บ้านนะง่าย อร่อยได้คุณภาพได้กับสุขภาพ และดีกับครอบครัว มากกว่าชื้อกินเป็นไหนๆ

หิมะและน้ำแข็งมนุษย์ รู้จักเก็บรักษาหิมะและน้ำแข็งธรรมชาติเพื่อมาใช้ประโยชน์แต่ครั้งบุพกาล หลักฐานเก่าแก่ที่ สุด คือ การค้นพบโรงเก็บหิมะและน้ำแข็งในเขตเมโสโปเตเมียซึ่งมีอายุประมาณ 4,000 ปี ในจีนก็พบหลักฐานทำนองเดียวกันนี้ ที่แสดงว่ามีการใช้หิมะและน้ำแข็งมาตั้งแต่ราว 1,000 ปี ก่อนคริสตกาล คนใบราณเอาหิมะและน้ำแข็งธรรมชาติมาใช้ประโยชน์อะไร เรื่องนี้ยังไม่มีคำตอบที่สมบูรณ์นัก แต่สรุปได้ว่าคนจีนโบราณใช้หิมะและน้ำแข็งธรรมชาติในการถนอม อาหารสดเป็นหลัก ส่วนชาวตะวันตก นับแต่สมัยโรมันจนถึงศตวรรษที่ 14-15 ใช้หิมะและน้ำแข็งเพื่อ แช่ไวน์ไว้ดื่มเย็นในหน้าร้อนเป็นสำคัญ จะมีก็แต่ในเปอร์เซียและตุรกีเท่านั้นที่ใช้หิมะและน้ำแข็งมาทำ เป็นเครื่องดื่มหวานเย็นที่เรียกว่า sharbatหรือ sherbetอ้างกันว่าชาวเปอร์เซียเนละเติร์กดื่มหรือกินชาร์บาท เพื่อดับกระหายในหน้าร้อนมาช้านาน อย่างน้อยก็ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 5 ice
โรงเก็บน้ำแข็ง หรือ lce house มีมาแต่สมัยโบราณ โรงขนาดใหญ่เก็บน้ำแข็งไว้ขาย แต่ตาม บ้านเศรษฐีและขุนนางก็นิยมมีโรงน้ำแข็งขนาดย่อม เพื่ออำนวยความสะดวกและประดับบารมีของ ตนเช่นกัน โรงขนาดใหญ่มิได้เก็บเฉพาะหิมะและน้ำแข็งธรรมชาติที่ขนส่งมาจากยอดภูเขาอันห่างไกลเท่านั้น แต่ยังมีน้ำแข็งจากนาน้ำแข็ง ที่เก็บเกี่ยวได้ในค่ำคืนฤดูหนาวอันเย็นยะเยือก มีหลักฐานแสดงว่ามีนาน้ำแข็งเเละโรงเก็บน้ำแข็งขนาดใหญ่ ในเปอร์เซียตั้งแต่สมัยโบราณ ในยุโรปและอินเดียก็มีการทำนาน้ำแข็งเหมือนกัน

เมื่อรู้จักใช้ประโยชน์จากหิมะและน้ำแข็งจากธรรมชาติ ตลอดจนการทำนาน้ำแข็ง ความพยายามที่จะทำน้ำแข็งขึ้นใช้เองย่อมติดตามมา การที่สารบางชนิด อาทิ เกลือ ดินประสิว แอมโมเนีย ฯลฯ เมื่อผสมกับหิมะหรือน้ำแข็งธรรมชาติแล้ว มี
คุณสมบัติสร้างความเย็น เป็นเรื่องรู้กันพอสังเขปมานาน แต่ยังไม่ได้ทดลองให้ได้ผลและประยุกต์
ใช้อย่างจริงจัง จวบจนกระทั่งถึงสมัยศตวรรษที่ 17 เทคนิคเยือกแข็งจากเกลือกับหิมะ จึงได้รับการ
ยอมรับกว้างขวางขึ้น การผลิตน้ำแข็งขึ้นเองเริ่มได้รับความนิยมในหมู่ชนชั้นขุนนางและเศรษฐี โดย
เฉพาะอย่างยิ่ง การจำหลักน้ำแข็งทำเองเพื่อใช้ประดับบนโต๊ะอาหารและแช่ผลไม้ อย่างไรก็ตาม
สมัยนั้นอุตสาหกรรมการผลิตน้ำแข็งยังไม่เกิดขื้นเพราะน้ำแข็งธรรมชาติยังราคาถูกและหาง่าย ต่อ
เมื่อน้ำแข็งถุกใช้ในการถนอมอาหารสดเพื่อส่งไปขายในแดนไกลตามเงื่อนไขการคมนาคมที่เจริญมากขึ้นในปลายศตวรรษที่ 19 จึงเริ่มเกิด
อุตสาหกรรมทำน้ำแข็งขึ้นในสหรัฐอเมริกา ขยายตัวและแพร่ออกไปทั่วโลกในเวลาต่อมา เครื่องทำน้ำแข็ง
เครื่องแรกถูกสร้างขึ้นในทศวรรษ 1850 ต่อมาในออสเตรเลีย ปี ค.ศ. 1855 ก็สามารถสร้างเครื่องทำ
น้ำแข็งขนาดใหญ่ที่สามารถผลิตน้ำแข็งอย่างต่อเนื่องสำหรับใช้ในโรงงานขึ้นเป็นเครื่องแรก ปี ค ศ
1916 จึงเริ่มผลิตตู้เย็นไฟฟ้าสำหรับใช้ตามบ้านเหมือนที่เราเห้นในปัจจุบันนี้